รับโปรโมทเว็บ, รับทำseo, รับโพสต์เว็บบอร์ด, ติดหน้าแรกgoogle, รับทำเว็บบล็อก

SEOPromote-Web Top 10

รับโปรโมทเว็บ, รับทำseo, รับโพสต์เว็บบอร์ด, ติดหน้าแรกgoogle, รับทำเว็บบล็อก
บริการรับทำ SEO (Search Engine Opitmize)
และ รับทำ SEM (Search Engine Marketing)
เป็นการทำ Online-Marketing หรือ เรียกว่า การทำการตลาดผ่าน Search Engine ที่จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับการค้นหาในอันดับต้นๆ การโปรโมทเว็บไซต์ หรือที่รู้จักก้นในชื่อ SEO (Search Engine Opitmize) หรือ ปัจจุบันเริ่มใช้คำว่า SEM (Search Engine Marketing) มากขึ้น

ปัจจุบันการสื่อสารการตลาด ด้วยการทำ SEO หรือ รับทำ SEM ได้ รับการพัฒนาให้เป็นกลยุทธ์อันทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเน้นเป้าหมาย และวิธีสื่อสารที่มีความเข้มข้น และสอดประสานกันอย่างมีพลัง การผสมสานเครื่องมือสื่อสารมาใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การสื่อสารทาง internet หรือ Online Marketing – SEO หรือที่เริ่มพัฒนามาเป็น Search Engine Marketing (SEM) ใช้ร่วมกับการโฆษณาผ่านสื่อ (Mass-media Advertising), การขายโดยพนักงาน (Personal Selling), การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion), การประชาสัมพันธ์ (Public Relations), การตลาดทางตรง (Direct Marketing), และบรรจุภัณฑ์ (Packaging) เพื่อเผยแพร่ข่าวสารที่มีความชัดเจน (Clear) คงที่ (Consistent) และจับใจ (Compelling) เกี่ยวกับองค์การ และผลิตภัณฑ์ ด้วยการ ทำ SEO ให้มีโอกาส ติดหน้าแรก google


ตรงกลุ่มเป้าหมายด้วยการโพสผ่านเว็บคุณภาพ ที่มีคนเข้าชมมากที่สุด โฆษณาของคุณจะถูกพบเห็นมากที่สุด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ tag แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ tag แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

การสร้าง Links

การสร้าง Links
บทนี้จะสอนเกี่ยวกับ Link
Link คือการเชื่อมต่อไปยังไปยังปลายทาง ลักษณะ Link บนเว็บไซท์การที่จะ Link ไปยังปลายทางได้ จะต้องเกิดการคลิก Link นั้นๆก่อน
การสร้าง Link นั้นใช้ <a href="URL">……</a>
Example 1:
การ Link ไปยังเว็บไซท์ภายนอก จะต้องระบุ URL เต็ม
<a href="http://www.ohocode.com">การ Link ไปยังเว็บไซท์ภายนอก (ohocode.com)</a>

Example 2:
การ Link ไปยังเว็บเพจต่างๆภายในเว็บไซท์ปัจจุบัน ซึ่งไฟล์นั้นๆอยู่ใน Path เดียวกัน
เช่น ปัจจุบันอยู่ใน http://www.ohocode.com หากจะ Link ไปยังhttp://www.ohocode.com/link.html
หรือ ปัจจุบันอยู่ใน http://www.ohocode.com/folder หากจะ Link ไปยัง http://www.ohocode.com/folder/link.html 
<a href="link.html">Link ไปยังเว็บเพจ link.html </a>

Example 3:
การ Link ไปยังเว็บเพจต่างๆภายในเว็บไซท์ปัจจุบัน ซึ่งไฟล์นั้นๆ อยู่ในโฟลเดอร์ถัดไป หรือลึกเข้าไป
วิธีการคือ ให้ระบุโฟลเดอร์ลงไปด้วยแล้วตามด้วยชื่อไฟล์
เช่น ปัจจุบันอยู่ http://www.ohocode.com/link2.html หากต้องการ Link ไปยังhttp://www.ohocode.com/folder1/link1.html ดังภาพ


<a href="folder1/link1.html">Click here to go to folder1/link1.html</a>

Example 4:
หากปัจจุบันอยู่ใน folder1/link1.html จะ Link ไป link2.html ที่อยู่นอก folder1
เช่น ปัจจุบันอยู่ http://www.ohocode.com/folder/link1.html หากต้องการ Link ไปยังhttp://www.ohocode.com/link2.html ดังภาพ



<a href="../link2.html">A link to link2.html</a>

<a> นั้น มี Attribute อีกตัวนึง คือ title 
ตัวอย่าง
<a href="http://www.ohocode.com" title="Free source code – สอน javascript css html php asp">Link to ohocode.com</a>
เมื่อนำเมาส์ไปวางบน Link จะมีข้อความขึ้นมาว่า Free source code – สอน javascript css html php asp เปรียบเสมือนการอธิบายเกี่ยวกับ Link นี้ ในส่วน title นี้ ควรต้องใส่ไว้ เพราะจะส่งผลให้ Search engine เข้ามาอ่านและเก็บ keyword ไปได้


ขอบคุณข้อมูลจาก : OHOCode

Attributes

Attributes
Attributes คือ คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของ Elements
เช่น
<font color="#FFFFFF">….</font>
color เป็น Attribute ของ font

<a href="http://ohocode.com">…..</a>
href เป็น Attribute ของ a

ฯลฯ

ฉะนั้น Attribute ต่างๆนั้นเปรียบเสมือนคำสั่งย่อยๆของ Element นั้น แต่ละ Attribute ต้องการข้อมูลที่ต่างกัน เช่น href="URL Path" , color="ค่าสีเลขฐาน16" , title="ข้อความ" ฯลฯ



Attribute ที่สามารถใช้ได้กับหลาย Element
เช่น
<a title="ข้อความ">………..</a>

<img title="ข้อความ" />

ฯลฯ

แต่บาง Attribute ใช้เฉพาะบาง Element เท่านั้น
เช่น
<form method="post">…………..</form>

<input type="submit" />

ฯลฯ

ส่วน Element กับ Attribute อื่นๆนั้น ยังมีอีกมากมายซึ่งคงไม่ขอกล่าวถึงครับ หากต้องการศึกษาในส่วนนี้เพิ่มเติม ผมแนะนำว่า ศึกษาจากการ คลิกขวา -> View source เว็บหน้าเว็บไซท์ต่างๆ หรือหากใช้ Dream Weaver เป็นจะเป็นการดีมากครับ เพราะโปรแกรมตัวนี้เราสามารถดู code ของเว็บเพจได้ ประกอบกับได้เห็นหน้า Design ไปด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก : OHOCode

Elements พื้นฐานต่างๆ

Elements พื้นฐานต่างๆ
บทนี้จะยกตัวอย่าง Element พื้นฐานต่างๆ แล้วอธิบายประกอบนะครับ

Elements ที่เป็น Tag คู่

Example 1: ตัวอักษรหนา

<strong>Stronger emphasis.</strong>

ผลลัพธ์:
Stronger emphasis.



Example 2: ตัวอักษรเล็ก

<small>This should be in small.</small>

ผลลัพธ์:
This should be in small.



Example 3: ตัวอักษรเอียง

<em>This should be in Emphasise.</em>

ผลลัพธ์:
This should be in Emphasise.



Example 4: ตัวอักษรเอียงและเล็ก
หากต้องการใช้ทั้ง 2 Elements (ที่ต้องการ Tag ปิด) ต้องเปิดปิด Tag ก่อนหลังให้ถูกต้อง <คู่ที่1><คู่ที่2> ข้อความ </คู่ที่2></คู่ที่1>


<em><small>Emphasised small text</small></em>

Emphasised small text



Example 5: <ul> คือชุดรายการ  <li> คือรายการ

<ul>
<li>A list item</li>
<li>Another list item</li>
</ul>

ผลลัพธ์:

A list item
Another list item
Example 6:

<ol>
<li>First list item</li>
<li>Second list item</li>
</ol>

ผลลัพธ์:

First list item
Second list item


Elements ที่เป็น Tag เดียว

Example 1: ขึ้นบรรทัดใหม่

Some text<br /> and some more text in a new line

ผลลัพธ์:
Some text
and some more text in a new line



Example 2: ขีดเส้นคั่นบรรทัด

<hr />

ผลลัพธ์:

ขอบคุณข้อมูลจาก : OHOCode

โครงสร้างเอกสาร HTML

โครงสร้างเอกสาร HTML

ไฟล์เอกสาร HTML ประกอบด้วยส่วนประกอบสองส่วนคือ Head กับ Body โดยสามารถเปรียบเทียบได้ง่ายๆ ก็คือ ส่วน Head จะคล้ายกับส่วนที่เป็น Header ของหน้าเอกสารทั่วไป หรือบรรทัด Title ของหน้าต่างการทำงานในระบบ Windows สำหรับส่วน Body จะเป็นส่วนเนื้อหาของเอกสารนั้นๆ โดยทั้งสองส่วนจะอยู่ภายใน Tag <HTML>?</HTML>


โครงสร้างไฟล์ HTML

ส่วนหัวเรื่องเอกสารเว็บ (Head Section)

Head Section เป็นส่วนที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะของหน้าเว็บนั้นๆ เช่น ชื่อเรื่องของหน้าเว็บ (Title), ชื่อผู้จัดทำเว็บ (Author), คีย์เวิร์ดสำหรับการค้นหา (Keyword) โดยมี Tag สำคัญ คือ

<HEAD>
<TITLE>ข้อความอธิบายชื่อเรื่องของเว็บ</TITLE>
<META HTTP-EQUIV="Content-Type" CONTENT="text/html; charset=TIS-620">
<META NAME="Author" CONTENT="ชื่อผู้พัฒนาเว็บ">
<META NAME="KeyWords" CONTENT="ข้อความ 1, ข้อความ 2, ?">
</HEAD>


ข้อความที่ใช้เป็น TITLE ไม่ควรพิมพ์เกิน 64 ตัวอักษร, ไม่ต้องใส่ลักษณะพิเศษ เช่น ตัวหนา, เอียง หรือสี และควรใช้เฉพาะภาษาอังกฤษที่มีความหมายครอบคลุมถึงเนื้อหาของเอกสารเว็บ หรือมีลักษณะเป็นคำสำคัญในการค้นหา (Keyword)

การแสดงผลจาก Tag TITLE บนเบราเซอร์จะปรากฏข้อความที่กำกับด้วย Tag TITLE ในส่วนบนสุดของกรอบหน้าต่าง (ใน Title Bar ของ Window นั่นเอง)

Tag META จะไม่ปรากฏผลบนเบราเซอร์ แต่จะเป็นส่วนสำคัญ ในการทำคลังบัญชีเว็บ สำหรับผู้ให้บริการสืบค้นเว็บ (Search Engine) และค่าอื่นๆ ของการแปลความหมาย

การพิมพ์ชุดคำสั่ง HTML สามารถพิมพ์ได้ทั้งตัวพิมพ์เล็ก ตัวพิมพ์ใหญ่ หรือผสม การย่อหน้า เว้นบรรทัด หรือช่องว่าง สามารถกระทำได้อิสระ โปรแกรมเบราเซอร์จะไม่สนใจเกี่ยวกับระยะเว้นบรรทัดหรือย่อหน้า หรือช่องว่าง


ส่วนเนื้อหาเอกสารเว็บ (Body Section)

Body Section เป็นส่วนเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ ซึ่งการแสดงผลจะต้องใช้ Tag จำนวนมาก ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูล เช่น ข้อความ, รูปภาพ, เสียง, วีดิโอ หรือไฟล์ต่างๆ

ส่วนเนื้อหาเอกสารเว็บ เป็นส่วนการทำงานหลักของหน้าเว็บ ประกอบด้วย Tag มากมายตามลักษณะของข้อมูล ที่ต้องการนำเสนอ การป้อนคำสั่งในส่วนนี้ ไม่มีข้อจำกัดสามารถป้อนติดกัน หรือ 1 บรรทัดต่อ 1 คำสั่งก็ได้ แต่มักจะยึดรูปแบบที่อ่านง่าย คือ การทำย่อหน้าในชุดคำสั่งที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งนี้ให้ป้อนคำสั่งทั้งหมดภายใต้ Tag <BODY> ? </BODY> และแบ่งกลุ่มคำสั่งได้ดังนี้

กลุ่มคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการพารากราฟ

กลุ่มคำสั่งจัดแต่ง/ควบคุมรูปแบบตัวอักษร

กลุ่มคำสั่งการทำเอกสารแบบรายการ (List)

กลุ่มคำสั่งเกี่ยวกับการทำลิงค์

กลุ่มคำสั่งจัดการรูปภาพ

กลุ่มคำสั่งจัดการตาราง (Table)

กลุ่มคำสั่งควบคุมเฟรม

ขอบคุณข้อมูลจาก : OHOCode

ความหมายของ HTML

ความหมายของ HTML

HTML หรือ HyperText Markup Language เป็นภาษาคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ที่มีโครงสร้างการเขียนโดยอาศัยตัวกำกับ (Tag) ควบคุมการแสดงผลข้อความ, รูปภาพ หรือวัตถุอื่นๆ ผ่านโปรแกรม Internet Browser แต่ละ Tag อาจจะมีส่วนขยายที่เรียกว่า Attribute สำหรับระบุ หรือควบคุมการแสดงผล ของเว็บได้ด้วย

HTML เป็นภาษาที่ถูกพัฒนาโดย World Wide Web Consortium (W3C) จากแม่แบบของภาษา SGML (Standard Generalized Markup Language) โดยตัดความสามารถบางส่วนออกไป เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจและเรียนรู้ได้ง่าย และด้วยประเด็นดังกล่าว ทำให้บริการ WWW เติบโตขยายตัวอย่างกว้างขวางตามไปด้วย

Tag

Tag เป็นลักษณะเฉพาะของภาษา HTML ใช้ในการระบุรูปแบบคำสั่ง หรือการลงรหัสคำสั่ง HTML ภายในเครื่องหมาย less-than bracket ( < ) และ greater-than bracket ( > ) โดยที่ Tag HTML แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ Tag เดี่ยว
เป็น Tag ที่ไม่ต้องมีการปิดรหัส เช่น <P>, <BR> เป็นต้น

Tag เปิด/ปิด
เป็น Tag ที่ประกอบด้วย Tag เปิด และ Tag ปิด โดย Tag ปิด จะมีเครื่องหมาย slash
( / ) นำหน้าคำสั่งใน Tag นั้นๆ เช่น <B>?</B>, <BLINK>?</BLINK> เป็นต้น


Attributes Attributes เป็นส่วนขยายความสามารถของ Tag จะต้องใส่ภายในเครื่องหมาย < > ในส่วน Tag เปิดเท่านั้น Tag คำสั่ง HTML แต่ละคำสั่ง จะมี Attribute แตกต่างกันไป และมีจำนวนไม่เท่ากัน การระบุ Attribute มากกว่า 1 Attribute ให้ใช้ช่องว่างเป็นตัวคั่น

เช่น Attributes ของ Tag เกี่ยวกับการจัดพารากราฟ คือ <P> ประกอบด้วย

ALIGN="Left/Right/Center/Justify"

ซึ่งสามารถเขียนได้ดังนี้

<P ALIGN="Left">...</P>

หรือ

<P ALIGN="Right">...</P>

หรือ

<P ALIGN="Center">...</P>

ขอบคุณข้อมูลจาก : OHOCode

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

9 ข้อควรระวังในการทำ SEO สำหรับเว็บดีไซน์และผู้พัฒนาเว็บไซต์

9 ข้อควรระวังในการทำ SEO สำหรับเว็บดีไซน์และผู้พัฒนาเว็บไซต์

จากประสบการณ์การให้บริการ SEO ให้กับลูกค้ามาหลายราย จะเจอปัญหาที่จะกล่าวต่อไปนี้บ่อยๆ  เนื่องจากการทำงานของเว็บดีไซน์เนอร์ และผู้พัฒนาเว็บไซต์ขาดความรู้ และขาดการแนะนำพื้นฐานของการทำ SEO และแน่นอน การทำเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ Search Engine (Search Engine Friendly) ไม่ได้เป็นการการันดี ว่าเว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับแรกๆ ใน Keyword ที่ต้องการ แต่เราก็สามารถการันตีได้ว่า พื้นฐานของการทำ Onpage SEO ที่ดีจะช่วยให้ แคมเปนการตลาดผ่าน Search Engine ของคุณจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

สำหรับ 9 ข้อควรระวังที่เว็บดีไซน์เนอร์ และผู้พัฒนาเว็บไซต์ ต้องควรคำนึงในทุกๆ ครั้งที่พัฒนาเว็บไซต์

- Splash Page – รูปแบบของ Splash Page จะเห็นบ่อยมากๆ ในเว็บไซต์ Corporate ที่ต้องการนำเสนอ Brand Image ให้เด่นชัด การทำ Splash Page จะไม่มีปัญหา สำหรับเว็บไซต์ที่ไม่ต้องการ Traffic จาก SEO แต่สำหรับเว็บไซต์ไหนที่จำเป็นต้องมี และต้องการให้อันดับ SEO ดีแล้ว เรามีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ มาฝากกัน นั่นก็คือการใช้งาน Meta Tag ที่มี Keyword หลักของธุรกิจของคุณ พร้อมทั้งลิงค์ที่เข้าถึงได้โดย Search Engine ไปสู่หน้าสำคัญ ภายในเว็บไซต์

- Navigation Menu ที่ใช้ Flash – การทำ Navigation Menu ให้มีลูกเล่นเช่นการ Fade-in, Fade-out ทำให้เว็บเพจมีความเป็น Interactive และดูน่าสนใจ แต่รู้หรือไม่ว่า Search Engine จะไม่สามารถเข้าไปเก็บข้อมูลได้

- คอนเทนต์ที่อยู่ภายในรูปภาพหรือ Flash Animation – Spider หรือ Robot จะทำงานโดยการเก็บและวิเคราะห์ ข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของข้อความ (Text) หากขั้นตอนการดีไซน์หรือพัฒนาเว็บไซต์ของคุณนำเอาข้อมูลที่สำคัญ เช่น รายละเอียดของสินค้า หรือ บริการ ของธุรกิจ มาอยู่ในรูปแบบรูปภาพหรือ Flash จะทำให้ Search Engine ไม่สามารถเก็บข้อมุลเลย

- การใช้งานเทคนิค Ajax ที่เยอะเกินไป – เทคนิค Ajax นั้นเป็นเทคนิคใหม่ที่นิยมกันอย่างมาก หลักๆ คือการนำมาใช้ในการโหลดคอนเทนต์ในส่วนอื่นๆ มาแสดงผลโดยที่ไม่จำเป็นต้องโหลดหน้าใหม่ ซึ่งตรงนี้ยังคงเป็นปัญหากับ Search Engine  เพราะฉะนั้น การใช้เทคนิค Ajax ต้องวิเคราะห์ถึงข้อดีและข้อเสียสำหรับ SEO

- การเปลี่ยน Theme หรือการ Redesign เว็บไซต์ – ในหลายๆ ครั้งเราจะเห็นว่าผู้ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ จะ Redirect ผู้เยี่ยมชมไปที่ example.com/v2 เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็น Theme หรือ Layout ของเว็บไซต์ ซึ่งตรงนี้จะทำให้ Robot เกิดการสับสนว่า หน้าแรกของเว็บไซต์ คือ URL ไหน และอาจก่อให้เกิดปัญหา Duplicate Content ได้

- ปุ่ม “คลิ้กที่นี่” – สั้นๆ ง่ายๆ แต่จะทำให้ Search Engine ไม่สามารถรู้ได้ว่า Link นั้นมีความเกี่ยวข้องหรือ มีคอนเทนต์อย่างไร หนึ่งในพื้นฐานการทำ SEO ก็คือการใช้งาน Keyword ที่เหมาะสมกับเนื้อหาของลิงค์นั้นๆ ให้อยู่ใน Anchor Text

- การละเลย Title Tag – รู้หรือไม่ว่า Onpage Factor ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งก็คือการใช้งาน Keyword ใน Title Tag และที่สำคัญก็คือ Title Tag จะแสดงผลในหน้าการค้นหาด้วย ในหลายๆ ครั้ง ผู้พัฒนาเว็บไซต์ จะใช้่งาน Title Tag เพื่อเป็นการบอกว่าหน้านี้คือ หน้า Home, Product, Contact Us เท่านั้น และอย่างที่่กล่าวไปแล้วว่า Search Engine จะแสดง Title ในหน้าผลการค้นหา เพราะฉะนั้น เราควรจะใช้ 65 Character ให้เป็นข้อความโฆษณาที่ทำให้ผู้ค้นหาอยากเข้าไปดูสินค้า หรือบริการ ในเว็บไซต์ของเรา  แต่อย่าลืมการใส่ Keyword ที่สำคัญสำหรับหน้านั้นๆ พร้อมทั้งชื่อ Brand ธุรกิจของคุณลงไปด้วย

- ละเลยการใช้ Alt ในรูปภาพ – เนื่องจาก Search Engine ไม่ได้เก็บข้อมูลในรูปแบบเว็บเพจอย่างเดียวเท่านั้น บริการค้นหารูปภาพของ Google ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะนำลูกค้ามาให้คุณได้เช่นกัน การใช้งาน Alt นอกจากจะทำให้รูปภาพสินค้า หรือบริการของคุณ ปรากฏต่อหน้าผู้ค้นหาแล้ว ยังช่วยเพิ่ม Keyword ให้กับเว็บเพจของคุณได้

- URL ที่ไม่เป็นมิตรกับ Search Engine – ในปัจจุบัน Platform เว็บไซต์สำเร็จรูปจะมี Feature URL Friendly เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่เว็บไซต์ที่มีการพัฒนาโดยผู้พัฒนาที่ไม่คำนึงทำการทำ SEO อาจจะพลาดในสิ่งนี้ไปนี่คือตัวอย่างของ Friendly และ Non-Friendly URL

Friendly : http://www.example.com/seo-guild-for-designer-developer
Non-Friendly : http://www.example.com/?p=12345

ครบแล้วสำหรับ ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยในการทำ SEO ถ้าหากเจ้าของเว็บไซต์ท่านไหนที่กำลัง Redesign หรือ พัฒนาเว็บไซต์ใหม่อยู่ลองให้ ผู้ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ ใช้เวลาซักเล็กน้อย ลองอ่านบทความนี้ดู

ที่มา : searchmaximizer

SEO check lists-และการให้แต้ม/ตัดแต้ม

 จุดสำคัญที่สุดจุดหนึ่งที่จะใส่ Keywords ของเราคือ Keywords ใน <title> tag เพราะ Keyword จะถูกโชว์ใน search results ในฐานะ page title ตัว title tag ควรจะสั้นๆ (6 or 7 คำสูงสุด) และ Keyword ควรจะอยู่ใกล้จุดเริ่มต้นประโยค
+3

2 Keywords ใน URL
 Keywords ใน URLs ช่วยได้ เช่น. - http://domainname.com/seo-services.html, จะเห็นว่า “SEO services” เป็น keyword phrase ที่เราพยายามจะเน้น แต่ถ้าในเอกสารของคุณไม่มี Keyword คำนี้อยู่ การใส่ Keywords ใน URL ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก
 +3

3 ความหนาแน่นของ Keyword  ในเว็บ
 ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดที่ดีควรจะ check ให้อยู่ราวๆ 3-7 % สำหรับ Keyword หลัก, 1-2% สำหรับคีย์อวิร์ดรอง. แต่ถ้าความหนาแน่น ของ Keyword นั้นมากกว่า 10% จะดูเยอะเกินและเหมือนกับยัดคีย์เวิร์ดซึ่งจะส่งผลไม่ดี
 +3

4 Keywords ใน anchor text
 นี่ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก the anchor text of inbound links, เพราะว่าถ้าคุณมี keyword เป็นคำ anchor text ที่ลิงค์เข้ามาจากเว็บอื่นๆ ก็จะเปรียบเทียบได้กับการได้รับการ vote จาก site นั้นๆไม่ใช่แต่เฉพาะทั้งเว็บตามปกติ, แต่จะเกี่ยวกับ keyword ด้วย
 +3

5 Keywords in headings (<H1>, <H2>, etc. tags)
 อีกจุดหนึ่งที่ให้น้ำหนัก Keyword ด้วยอย่างมาก. แต่ก็ให้แน่ใจด้วยว่าในหน้าเว็บนั้นๆของคุณก็มี text ที่เป็น Keyword นี้ด้วยเช่นกัน
 +3

6 Keywords ในจุดเริ่มต้นของ เอกสาร
 ถึงแม้คะแนนจะไม่มากเท่า anchor text, title tag หรือ headings. อย่างไรก็ตามให้นึกไว้เสมอว่า จุดเริ่มต้นของเนื้อความใน document ไม่จำเป็นต้องหมายถึง ย่อหน้าแรกเสมอไปนะครับ – เช่นถ้าเราใช้ tables, ข้อความหลักน่าจะอยู่ที่ column ที่สอง row สองมากกว่า.
 +2

7 Keywords ภายใน <alt> tags
 Spiders จะไม่รู้จักรูป images แต่มันสามารถอ่าน textual descriptions ใน <alt> tag ได้, เพราะฉนั้นถ้าคุณมีรูป, ให้ใส่ keyword บางตัวใน <alt> tag ด้วย
 +2

8 Keywords ใน metatags
 ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ความสำคัญในส่วนของ meta ได้ลดลงมาบ้าง (แต่ก็ยังต้องใส่อยู่), เพราะว่า Google. Yahoo! และ MSN ก็ยังพิจารณาส่วนนี้อยู่, โดยเฉพาะ Yahoo! กับ MSN, การใส่ keyword ใน meta ก็ยังดีกว่าไม่ใส่เลยนะครับ
 +1

9 Keyword proximity
 Keyword proximity เป็นตัววัดความใกล้กันของตัว text ใน keywords  ซึ่งจะให้ผลดีที่สุดถ้า keyword  ตัวนึงอยู่ต่อกับอีกตัวนึงพอดี (เช่น “dog food”), ที่ไม่มีคำอื่นใดไปแทรกกลางระหว่างมัน. ตัวอย่างเช่นถ้าเรามีคำว่า “dog” ในย่อหน้าแรกและ “food” ในย่อหน้าที่สาม , Google ก็จะนับ keyword ให้เหมือนกันแต่ก็จะไม่ได้ให้น้ำหนักมากเท่า“dog food” ที่ไม่มีอะไรแทรกกลางเลย. Keyword proximityจะเหมาะกับ keyword ที่มีคำมากกว่าสองคำอยู่ด้วยกันครับ
 +1

10 Keyword phrases
 ในบาง Keyword เราสามารถที่จะ optimize ตัว keywordที่ประกอบด้วยคำหลายคำได้ เช่น “SEO services” จะเป็น keyword phrases ที่น่าจะเป็นที่นิยมในการค้นหา เพราะผู้เซิร์ทหลายคนน่าจะพิมพ์ทั้งสองคำนี้ลงไปตรงๆ แต่ในบางโอกาส การแยก keyword เป็น 2หรือ 3 คำ เช่น “SEO” และ “services” ก็อาจจะทำให้เจอได้ในบางครั้งเช่นกัน เพียงแต่จะมีน้ำหนักที่น้อยกว่าบ้าง
+1

11 Secondary keywords
  การ Optimizing สำหรับ keywords ที่รองลงไป (บางทีเป็น sub categories ของ keyword หลัก) ก็เป็นความคิดที่ดี เพราะแน่นอนว่าทุกๆคนพยายามที่จะ optimizing  keywords ที่ดังๆ และค่อนข้าง General ทำให้ keyword ที่รองลงมาอาจไม่ค่อยได้ถูกโฟกัส นั่นหมายความว่าถ้ามีคน search ก็กลับจะดีกว่า ยกตัวอย่างเช่น “boutique hotel pattaya” นั้นมีคนเซิร์ทน้อยกว่า “boutique hotel” เป็น พันๆเท่าแน่นอน แต่ถ้าคุณทำธุรกิจนี้ในพัทยา ถึงแม้คุณจะมีคนเซิร์ทเจอน้อยกว่าแต่คนที่เจอก็เป็น targeted traffic แน่นอน
 +1

12 Keyword stemming
  สำหรับภาษาอังกฤษ การใส่คำที่มีความหมายในทางเดียวกัน เช่น dog, dogs, doggy,และอื่นๆ จะถูกคิดว่ามีความสำพันธ์กันถ้าคุณมีคำว่า “dog”อยู่ใน pageของคูณ, เว็บอาจจะถูเซิร์ทเจอเพราะคำว่า “dogs” หรือ “doggy”ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามสำหรับภาษาไทยนั้นการใส่ keyword ที่คล้ายๆกันไปด้วยก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพราะ search engine ยังไม่รู้จักรากของคำดีพอ (ถึงแม้ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา google สามารถที่จะตัดแยกคำไทยที่เขียนติดกันได้แล้วก็ตาม)
 +1

13 Synonyms
  สำหรับภาษาอังกฤษ การ Optimizing คำที่มีความหมายเดียวกัน (synonyms)ของ target keywords, ก็จะให้ผลดีด้วยเพราะ search engine นั้นมีความฉลาดพอที่จะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่สำหรับภาษาไทยนั้น search engine ยังไม่รู้จักคำเหมือนนะครับ
 +1

14 Keyword Mistypes
 การสะกดผิดเป็นเรื่องที่เป็นกันบ่อย หรือแม้แต่การตั้งใจเขียนให้มีความหมายคล้ายกันแต่เขียนให้ส้นลง เช่น Christmas กับ Xmas ซึ่งเราก็อยากจะ optimize ทั้งคู่ซึ่งแน่นอนว่าเราก็จะได้ Traffic ที่เพิ่มขึ้น แต่การแกล้งพิมพ์ผิดหรือพิมพ์เพี้ยนในเว็บไซต์นั้นอาจจะทำให้เว็บไม่ค่อยน่าประทับใจ ทางที่ดีใส่แค่ใน meta ดีกว่า
 0

15 Keyword dilution
 ถ้าคุณพยายามที่จะ optimizing  keywords หลายคำเกินไป, โดยเฉพาะอย่างยิ่งคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย จะทำให้ performance ของ keywords รวมทั้งตัวหลักๆนั้นเจอจางลงไปเช่นเดียวกับการมี text อยู่เท่านั้น
 -2

16 Keyword stuffing
 การตั้งใจใส่ keywords ที่เยอะเกินไปจนผิดธรรมชาติ (มากกว่า 10% ของคำทั้งหมดใน page)เรียกว่า stuffing และจะทำให้เว็บของคุณเสี่ยงต่อการถูกแบนโดย search engine
 -3

Links – internal, inbound, outbound 

17 Anchor text of inbound links
 การถูกลิงก์จากเว็บไซต์อื่นเข้ามา โดยมี text ของลิงก์ตรงกับkeyword เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของประสิทธิภาพ keywords(  แต่ถึงจะไม่มี anchor text ตรงๆกับ keyword ก็ยัง OK นะครับ)
 +3

18 Origin of inbound links
 เช่นเดียวกับanchor text, คุณภาพ (reputable)ของเว็บที่ลิงก์เข้ามานั้นก็สำคัญมากเช่นกัน โดยปกติเว็บที่มี Google PR ที่ดีก็มักจะมี reputable ดีด้วยเช่นกัน 
+3

19 Links from similar sites
 ลิงก์จากเว็บที่คล้ายๆกันก็มีประโยชน์อย่างมากเช่นกัน เพราะมันแสดงถึงว่าคู่แข่งของคุณกำลังโหวตให้คุณ และคุณกำลัง popular ใน community นั้นๆ
 +3

20 Links from .edu and .gov sites
 ลิงก์เหล่านี้มีมูลค่ามากทีเดียว เพราะว่าเว็บประเภท .edu และ .gov นั้นจะมี reputable สูงกว่า .com .biz .info หรืออื่นๆ และอีกอย่างก็คือ ลิงก์ออกจากเว็บเหล่านี้ก็มีไม่เยอะซะด้วย
 +3

21 Number of backlinks
 แน่นอนว่ายิ่งมีคนลิงก์เข้ามาเยอะก็ยิ่งดี ถึงแม้ว่า คุณภาพของเว็บที่ลิงก์จะมีความสำคัญมากกว่าจำนวนก็ตาม
 +3

22 Anchor text of internal links
 การใส่ anchor text  สำหรับลิงก์ภายในเว็บของเราเองก็ให้ผลดีและเป็นสิ่งสำคัญที่ทำได้ไม่ยาก
 +2

23 Around-the-anchor text
 text ที่อยู่ก่อนและหลังของ anchor text ก็มีความสำคัญเช่นกัน เรามันจะเป็นตัวบอกความตั้งใจในการใส่ลิงก์ของคุณ  ว่าใส่อย่างผิดธรรมชาติหรือ flow อยู่ข้างในกลุ่ม text หรือไม่
 +2

24 Age of inbound links
 อายุของ ลิงก์ เข้ามาจากเว็บอื่นยิ่งมากยิ่งดี เพราะว่าการได้ลิงก์จำนวนมากเข้ามาในระยะเวลาไม่นานนั้นแสดงให้เห็นว่าคุณน่าจะซื้อมันมากกว่า 
 +2

25 Links from directories
 การใด้ลิงก์จากเว็บ Directory ก็สำคัญเช่นกันและขึ้นอยู่กับคุณภาพของ Directory นั้นๆด้วย เช่นการให้ลิงก์จาก DMOZ ,Yahoo นั้นจะให้ผลที่ดีมากๆ แต่การมีลิงค์จำนวนมหาศาลจาก Directory ที่มี PR-0  นั้นกลับไร้ประโยชน์ และยังอาจเสี่ยงต่อการถูกคิดว่าเป็น spam links อีกด้วยถ้าคุณมีเป็นร้อยเป็นพันลิงก์
 +2

26 Number of outgoing links on the page that links to you
 เว็บที่ลิงก์เข้ามาให้คุณนั้น  ถ้ามีลิงก์ออกไปที่อื่นยิ่งน้อยยิ่งดีเพราะว่ามันแสดงถึงความสำคัญของเว็บคุณต่อเค้านั่นเอง อันนี้เป็นหลักการของการให้ pagerank โดยปกติ
 +1

27 Named anchors
 Named anchors บริเวณเป้าหมาย ลิงก์ภายในไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับ navigation ภายใน แต่ยังสำคัญกับ SEO ด้วยเพราะเป็นการเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของ ย่อหน้าหรือ text นั้นๆ สำหรับ code, named anchors เช่น: <A href= “#dogs”>Read about dogs</A> และ “#dogs”ก็คือ named anchor.
 +1

28 IP address of inbound link
 Google denies Google นั้นจะไม่ให้ความสำคัญและไม่ให้น้ำหนักจากลิงก์ที่มาจาก IP address เดียวกัน แต่ MSN และ  Yahoo นั้นอาจจะไม่รับ ลิงก์ที่มาจาก IP address เดียวกัน ด้วยซ้ำ ดังนั้นเป็นการดีที่จะได้ลิงก์เข้ามาจาก  IPs ที่ต่างกัน
 +1

29 Inbound links from link farms and other suspicious sites
 การได้รับลิงก์มากจากเว็บรวมลิงก์ (links farm) นั้นจะไม่ส่งผลอะไรต่อเว็บของคุณเลย และก็ไม่ถูกทำโทษด้วยเพราะว่ามันไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่ยังไงก็ตาม อยุ่ห่างๆจากเว็บพวกนี้ก็ดีครับ
 0

30 Many outgoing links
 Google จะไม่ชอบเว็บ page ที่มีลิงก์ออกเป็นจำนวนมาก  เพราะฉนั้นคุณต้องพยายามไม่ให้ลิงก์ออกจากเว็บเกิน 100  ต่อหนึ่งหน้า มิเช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อเว็บของคุณ
 -1

31 Excessive linking, link spamming
 ถ้าเว็บคุณมีลิงก์หลายอันไปที่เว็บๆเดียว  หรือได้ลิงก์เข้ามาหลายๆอันจากเว็บๆเดียว (แม้ว่าเว็[นั้นจะไม่ใช่เว็บที่คุณภาพต่ำก็ตาม) อันนี้ก็ส่งผลเสียเช่นกันเพราะจะดูเหมือนกับการซื้อลิงก์หรือ spamming
 -1

32 Outbound links to link farms and other suspicious sites
 ถ้าคุณมีลิงก์ออก (outbound) ไปที่เว็บที่ถูกทำโทษไปแล้วหรือไปที่ link farm จะทำให้ถูกตัดแต้มอย่างมาก ดังนั้นต้องหมั่นเช็คลิงก์ขาออก จากเว็บของคุณเสมอเพราะบางทีเว็บที่ดีก็มีการเปลี่ยนไปเป็นเว็บที่แย่ได้เหมือนกัน (bad neighbors )
 -3

33 Cross-linking
 ตัวอย่างของ Cross linking เช่นเว็บ A ลิงก์ออกไปที่เว็บ B และเว็บ B ลิงก์ออกไปที่เว็บ C และ เว็บ C ลิงก์กลับมาที่เว็บ A การกระทำอย่างนี้ก็เหมือนเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนลิงก์จำนวนมากเช่นกัน แม้และจะโดนตัดแต้มอย่างมาก (กรณีที่ซับซ้อนกว่านี้ google ก็ยังสามารถเช็คได้ดังนั้นทำอะไรให้เป็นธรรมชาติด้วยจำนวนลิงก์ที่เหมาะสมเช่นเพื่อนแนะนำเพื่อนในกลุ่มเดียวกันก็ไม่เป็นไร)
 -3

34 Single pixel links
 ถ้าพยายามทำลิงก์ที่มีขนาดแค่ pixel เดียวหรือมีขนาดที่คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นเพื่อหวังผลว่าจะหลอก search engine ก็จะถูกตัดแต้มด้วยเช่นกัน
 -3

Metatags 

35 <Description> metatag
 Metatags เริ่มมีความสำคัญน้อยลงไปเรื่อยๆแต่ก็ยังมีผลอยู่เช่นกัน ซึ่งจะมีทั้ง <description> และ <keywords>  ถ้าเราต้องการอธิบายเว็บของเราให้ใส่ <description> ( yahoo และ msn ยังคงให้ความสำคัญมากอยู่) และบางครั้ง description ก็จะขึ้นใน search results เช่นกัน
 +1

36 <Keywords> metatag
 <keyword> metatag นั้นยังมีผลต่อ google เวลาใส่ metatag ให้ใส่ด้วยความยาวที่เหมาะสมคือประมาณ 10-20  keywords และอย่ายัด keyword ที่ไม่มีในหน้า page ของคุณลงไปเพราะจะส่งผลเสียแทน
 +1

37 <Language> metatag
 ถ้าเว็บไซต์ของเราต้องการ specific ภาษา ก็อย่าให้ tag ภาษาว่างเปล่า  ถึงแม้ว่า search engine จะมีกรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่าในการวิเคราะห์ภาษาแต่ก็ยังต้องคำนึงถึง <language>metatag
 +1

38 <Refresh> metatag
 <refresh>metatag เป็นทางเดียวที่จะ redirect จากเว็บของคุณไปที่อื่น   ให้ทำในกรณีที่คุณเพิ่งย้ายเว็บไซต์ไปยังชื่อ domain ใหม่เท่านั้นและควรทำเป็นการชั่วคราว เพราะถ้า redirect เป็นเวลานานจะทำให้แต้มตก ในกรณีนี้การ redirect ไปที่ 301 นั้นจะดีกว่า
 -1

Content

39 Unique content
 ยิ่งเว็บเรามีเนื่อหามากเท่าไหร่ และเนื้อหามีความแตกต่างจากเว็บอื่นๆทั้ในแง่ของ wording และ Topics จะยิ่งทำให้ ranking ดีขึ้นเท่านั้น
 +3

40 Frequency of content change
 การปรับเปลี่ยนเนื้อหาอยุ่เป็นประจำนั้นยอดเยี่ยมเช่นกัน และดีที่สุดถ้าเว็บมีเนื้อหาใหม่ๆตลอดเวลา (ดีกว่าการปรับเปลี่ยนเนื้อหาที่มีอยู่แล้วนิดหน่อยๆ)
 +3

41 Keywords font size
 เมื่อเนื้อความที่เป็น keywords ในเว็บของคุณมีขนาดตัวอักษรที่ใหญ่เมื่อเทียบกับตัวอักษรตัวอื่นๆในเว็บ ซึ่งจะทำให้เป็นที่สังเกตได้ง่ายขึ้นและแสดงถึงความสำคัญก็จะช่วยให้ keyword นั้นๆได้แต้มด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับการใส่ <h1>,<h2> ที่ heading
 +2

42 Keywords formatting
 เช่นเดียวกันกับด้านบน ถ้าเราเน้นตัวอักษรที่เป็น keyword ด้วยวิธีอื่นๆเช่นตัวเอียง ตัวหนา ก็จะได้แต้มด้วยเช่นกัน แต่ก็อย่าใช้มากเกินไป
 +2

43 Age of document
 เอกสารที่ออกใหม่ๆ หรือเอกสารที่อัพเดทบ่อย ก็จะได้รับความสำคัญมากกว่าเช่นกัน
 +2

44 File size
 ปกติ page ที่มีข้อความยาวมากๆเกินไปนั้นก็ไม่ได้ให้ผลที่ดีมากนัก เพราะถ้าเรามี หน้าสั้นๆ 3 หน้าก็ยังดีกว่า หนึ่งหน้ายาวๆใน Topic เดียวกัน เพราะฉนั้นให้แยกบทความยาวๆเป็น บทความสั้นๆหลายๆหน้าจะดีกว่า
 +1

45 Content separation
 ถ้าเป็นมุมมองทางการตลาก การแยกประเภทของเนื้อหาตามกลุ่มต่างๆภายใต้ IP หรือ ชนิดของ Browser หรืออื่นๆ นั้นน่าจะดีเพราะตรงกลุ่มเป้าหมาย แต่กลับส่งผลเสียต่อ SEO แทนเนื่องจากเมื่อคุณมีแค่ URL เดียวแต่กลับมี เนื้อหาที่ต่างกันจะทำให้ search engine งงว่าอันไหนเป็นเนื้อหาที่แท้จริง
 -2

46 Poor coding and design
 Search engine เป็นคนบอกเองว่า พวกมันไม่ต้องการเว็บไซต์ที่มีการดีไซน์ที่แย่และมีการเขียน code ที่ไม่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมี เว็บที่ถูกแบนเนื่องจากกรณีดังกล่าว  (messy code และ รูปที่น่าเกลียด) แต่เว็บที่ดีไซน์ไม่ดีและ code ไม่ดีก็จะไม่ถูก index เลยทำให้ส่งผลเสียแน่นอน
 -2

47 Illegal Content
 การใส่เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนอกจากจะผิดกฎหมายแล้วคุณก็ยังจะถูก search engine เขี่ยออกไปอีกด้วย
 -3

48 Invisible text
 นี่เป็นกรณีของ black hat SEO (สายดำ) ถ้า spiders ตรวจจับได้ว่าคุณใส่ text ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาก็อย่าแปลกใจที่จะโดยทำโทษ
 -3

49 Cloaking
 Cloaking เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่สามารถโดนตัดแต้มได้ เพราะเป็นการแยกส่วน content หลอกให้ spider เห็น page ที่ทำ optimize หวังผล ในขณะที่ผู้เข้าชมปกติกลับเห็นอีกเวอร์ชั่นของ page นั้นๆ
 -3

50 Doorway pages
 การสร้าง page โดยตั้งใจที่จะหลอก spiders ว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นเป็นเว็บที่สำคัญดี (highly-relevant)  ทั้งๆที่ไม่ใช่ ก็เป็นอีกทางที่ search engine จะเขี่ยคุณออก
 -3

51 Duplicate content
 เมื่อคุณมีเนื้อหาที่เหมือนกันในหลายๆหน้าบนเว็บ แทนที่จะทำให้เว็บดูใหญ่ก็กลับทำให้ถูกลงโทษในฐานะ duplicate content แทน  การวิเคราะห์การทำซ้ำนั้นก็มีหลายดีกรี แต่ก็ไม่ใช่ทุกอันที่จะถูกแบน เช่น บทความจาก mirror sites นั้นไม่เป็นไร
 -3

Visual Extras and SEO 

52 JavaScript
 ให้ใช้ java อย่างฉลาดเพียงเพื่อดึงดูดความน่าสนใจเท่าที่จำเป็น แต่ถ้าเนื้อหาหลักของเว็บถุกแสดงผ่าน Javascript ทั้งหมด จะทำให้ spiders ติดตามได้ยาก และอาจติดตามไม่ได้เลยถ้า code Javascript นั้นเขียนมาแย่ แน่นอนว่า rating จะตกได้
 0

53 Images in text
 เว็บที่มีแต่ตัวอักษรก็ดูน่าเบื่อแต่ถ้ามีรูปเยอะไปก็ไม่ดีกับ SEO เช่นกัน อย่างไรก็ตามให้ใส่ <alt>tag ด้วยคำที่เป็นความหมายที่เหมาะสมกับรูป แต่ก็อย่ายัด keyword จำนวนมากใส่รูปโดยไม่เกี่ยวข้องกันเช่นกัน
 0

54 Podcasts and videos
 Podcast และวีดีโอกำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆทุกวัน แต่ก็ทำให้ ไม่ค่อยมี text ในเว็บและ search engine  ก็เจอยาก เพราะฉนั้นถ้าเป็นไปได้ จะถอดเทปและเขียนเป็น text กำกับไว้ในหน้านั้นๆก็ได้ครับ
 0

55 Images instead of text links
 การใช้รูปเป็นตัวลิงก์แทนตัวอักษรนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่  จะยิ่งแย่เมื่อไม่ได้ใส่อะไรใน <alt>tag เลย แต่แม้ว่าคุณจะใส่ <alt>tag แล้วก็ยังให้ผลได้ไม่ดีเท่ากับการลิงก์ด้วยตัวอักษรที่เป็นตัวหนา ,ขีดเส้นใต้ หรือมีขนาด ใหญ่ เพราะฉนั้นคุณควรจะใช้ รูปในการทำ navigation ที่ขึ้นกับ graphic lay-out ของเว็บคุณเท่านั้น
 -1

56 Frames
 Frames เป็นสิ่งที่ส่งผลเสียต่อ SEO มาก ให้หลีกเลี่ยงยกเว้นจำเป็นจริงๆ
 -2

57 Flash
 Spiders จะไม่ index เนื้อหาที่เป็น Flash (ภาพเคลื่อนไหว) ถ้าจำเป็นต้องมีก็ควรใส่  alternate textual description ด้วย
 -2

58 A Flash home page
 การทำ flash homepage โดยไม่มี html เลยส่งผลไม่ดีต่อ SEO อย่างมากแน่นอน
 -3

Domains, URLs, Web Mastery

59 Keyword-rich URLs and filenames
 การที่มี keywords หรือชื่อของไฟล์ อยู่ใน URLs ก็เป็นสิ่งสำคัญมาสำหรับ SEO โดยเฉพาะอย่างยิ่งกบ Yahoo! และ MSN
 +3

60 Site Accessibility
 การเข้าเว็บไซต์ได้ทั้งเว็บตลอดเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญ ปกติเว็บจะถือว่า unaccessible เมื่อ ลิงก์ตาย,404 errors, บริเวณในเว็บที่ต้องใส่ password และจะทำให้เว็บไม่ถูก index
 +3

61 Sitemap
 การมี  sitemap,เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว คุณควรมี site map ที่สมบูรณ์และ update เสมอ(ไม่ว่าจะเป็นแบบ HTML ธรรมดาหรือ Google site map formatt  เพราะว่า spiders จะชอบ
 +2

62 Site size
 โดยปกติเว็บยิ่งใหญ่ก็จะยิ่งดี เพราะSpiders นั้นชอบเว็บไซต์ใหญ่ๆ  อย่างไรก็ตามเว็บที่ใหญ่ก็จะมีปัญหาใช้งานยากขึ้นและมี navigation ที่แย่ลงทำให้บางทีต้องแยกเป็นเว็บที่เล็กลง  แต่ในทางปฎิบัติ ยังไม่ค่อยมีเว็บไหนที่ถูกลงโทษเพราะมีหน้าเกินหมื่นหน้า เพราะฉนั้นอย่าแยกเว็บไซต์เพียงเพราะว่ามันใหญ่ขึ้นทุกวัน
 +2

63 Site age
 older sites are respected more.เว็บไซต์ยิ่งมีอายุมากแล้วยิ่งได้รับความเชื่อถือมากขึ้น เพราะแสดงว่าไม่ใช่เว็บ pop-up ใหม่ๆแล้วหายไป
 +2

64 Site theme
 site theme ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน และสำคัญมากต่อ ranking ถ้าเราทำ site ให้เข้ากับ theme หนึ่งๆแล้ว ถ้ามี page อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ theme นี้จะช่วย boost เว็บไซต์ทั้งหมด
 +2

65 File Location on Site
 ตำแหน่งของ file ในเว็บไซต์ ( ชื่อไฟล์ด้านหลังเช่น www.ipattt.com / xxx) ถ้าอยู่ใกล้กับ root directory จะมีแนวโน้มที่มี rank ดีกว่าไฟล์ที่อยู่ลึกเข้าไปห้าระดับ (เช่น www.ipattt.com/nnn/nnn/nnn/nnn/xxx )
 +1

66 Domains versus subdomains, separate domains
 การมี domain ต่างหากน้นดีกว่า เช่นแทนที่จะมี ipattt.blogspot.com ก็ควร register เป็น ipattt.com
 +1

67 Top-level domains (TLDs)
 TLDs ( .xxx) นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ โดย .com นั้นดีกว่า .ws, .biz, .info อยู่มากแต่ก็ไม่มีอะไรสู้ .edu กับ .org ที่จดทะเบียนมานานแล้วได้
 +1

68 Hyphens in URLs
 เครื่องหมาย ( – ) ระหว่าง URLs นั้นช่วยให้อ่านง่ายขึ้นและมีผลต่ ranking สามารถใช้ได้กับทั้ง domain name และ ที่เหลือ ใน URLs
 +1

69 URL length
 ปกติ URLs ที่ยาวมากๆจะเริ่มดูเหมือน spam เพราะฉนั้นควรหลักเลี่ยงการมี URLs ยาวเกิน 10 คำ ( 3 ถึง 4 คำสำหรับ domain name และ 6 คำสำหรับที่เหลือนั้นยังพอรับได้)
 0

70 IP address
 IP address จะมีผลไม่ค่อยดีต่อเมื่อมีการ shared hosting หรือเมื่อเว็บไซต์นั้น host กับ free hosting provider  อีกกรณีคือ  IP หรือ C-class ของ IP address ทั้งหมดติดแบล็คลิสต์เนื่องมาจากการถูกลงโทษด้าน spamming หรือ ด้าน กฏหมาย
 0

71 Adsense will boost your ranking
 Adsense นั้นอาจจะช่วยให้คุณมีรายได้แต่ไม่ได้มีผลอะไรกับ SEO ranking  Google ไม่ได้ให้ ranking bonus เพราะว่า hosting adsense ads
 0

72 Adwords will boost your ranking
 เหมือน Adsense , ตัว Adwords นั้นช่วยให้คนเข้ามาดูเว็บของคุณได้ง่ายขึ้นแต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับ SEO ranking เช่นกัน
 0

73 Hosting downtime
 Hosting downtime มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ accessibility  เพราะว่าถ้าเว็บ down บ่อยๆจะไม่สามารถทำ indexed ได้ factor นี้จะเห็นผลเสียก็ต่อเมื่อ hosting provider ไม่ค่อยน่าเชื่อถือและมี uptime ต่ำกว่า 97-98%
 -1

74 Dynamic URLs
 Spiders นั้นชอบ static URLs  แม้ว่าคุณจะเคยเห็น dynamics pagesจำนวนมาก    การมี URLs ยาวๆ(เช่นเกิน 100ตัวอักษร)จะส่งผลเสียต่อทั้งคนท่องเว็บและ SEO และเราควรจะใช้เครื่องมือบางตัวช่วยเช่น rewrite dynamic URLs
 -1

75 Session IDs
 ยิ่งแย่กว่า Dynamics URLs  การใช้ session IDs นั้นจะไม่ทำให้ spiders ทำ indexed
 -2

76 Bans in robots.txt
 ถ้าเว็บไซต์ของเรามีบางส่วนที่ถูกแบน  มันก็มักจะส่งผลถึงส่วนอื่นๆที่ไม่โดนแบนทั้งหมดด้วยเนื่องจาก spiders จะวิ่งเข้ามาน้อยถ้าเป็น “noindex” site
 -2

77 Redirects (301 and 302)
 redirects จะส่งผลเสียมากถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้อง บางทีหน้าที่ต้องการนั้นก็ไม่สามารถเปิดได้ หรือแย่ยิ่งกว่านั้นคือ บางครั้ง redirect อาจถือว่าเป็นการทำ SEO แบบ black hat คือเมื่อผู้เยี่ยมชมเข้ามากลับถูกโยนไปที่อื่นแทน
 -3

ขอบคุณhttp://www.ipattt.com


ส่งความคิดเห็น

อภิรดี อุดมศักดิ์

SEOPROMOTE-WEB

Email : seopromoteweb@gmail.com



รับโปรโมทเว็บไซต์และดูแลเว็บไซต์

รับทำเว็บบล็อคและดูแลอัพเดตข้อมูล

พร้อมทำการตลาด Social Network



โทร 085-948-2298

โทร 087-110-3192

http://seopromote-web.blogspot.com/



Facebook : SEOPromote-Web

http://www.facebook.com/profile.php?id=100001896132775